นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 44
ตรัสรู้โดยสังเขปเพียงสักว่าชื่อ แต่กล่าวประพฤติเหตุอันเป็นไปในวัน
ตรัสรู้โดยพิสดารดังนี้
:-
ในเช้าวันนั้น นางสุชาดาบุตรีกุฎุมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้าน
เสนานคม ณ ตำบลอุรุเวลา,
ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดา
หุงข้าปายาสคือข้าวสุก หุงด้วยน้ำนมโคล้วนเสร็จแล้ว จัดลงในถาด
ทองนำไปที่โพธิพฤกษ์. เห็นพระมหาบุรุษเสด็จนั่งอยู่ สำคัญว่า
เทวดาจึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย.๑ ในเวลานั้นบาตรของพระองค์
เผอิญอันตรธานหาย, พระองค์จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วย
พระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง. นางทราบพระอาการจึง
ทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป. พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาส
เสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา, สรงแล้วเสวยข้าวปายาสหมดแล้ว
ทรงลอยถาดเสียในกระแสน้ำ. พระองค์เสด็จประทับอยู่ในดงไม้สาละ
ใกล้ฝั่งแม่น้ำในกลางวัน, ครั้นเวลาเย็น เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ
ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้า ชื่อโสตถิยะ
ถวายในระหว่างทาง, ทรง
ลาดหญ้าต่างบัลลังก์ ณ
ควงพระมหาโพธิด้านปราจีนทิศ๒แล้ว เสด็จนง
ขัดสมาธิ ผันพระพักตร์ทางบุรพทิศ๓ ผันพระปฤษฎางค์๔ทางลำต้น
พระมหาโพธิ, ทรงอธิษฐานในพระหฤทัยว่า " ยังไม่บรรลุพระสัมมา-
สัมโพธิญาณเพียงใด จักไม่เสด็จลุกขึ้นเพียงนั้น พระมังสะและพระ
โลหิตจะแห้งเหือดไป เหลือแต่พระตจะ๕ พระนหารุ๖ และพระอัฐิ๗
๑.
สมด้วยธรรมเนียมบริจาคทานของพวกพราหมณ์ ดังแสดงในพระสูตร แต่งอาหา
แล้ว ถือไปแสวงหาปฏิคาหก พบเข้าบริจาค. ว. ว.
๒-๓. ทิศตะวันออก. ๔.
หลัง. ๕. หนัง.
๖. เอ็น. ๖.
กระดูก.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 45
ก็ตามที.
"
ในสมัยนั้น พระยามารเกรงว่า พระมหาบุรุษจะพ้นจากอำนาจ
แห่งตน จึงยกพลเสนามาผจญ, แสดงฤทธิ์มีประการต่าง ๆ เพื่อ
จะยังพระมหาบุรุษให้ตกพระหฤทัยกลัวแล้วจะเสด็จหนีไป. พระองค์
ทรงนึกถึงพระบารมี
๑๐ ทัศ
ที่ได้ทรงบำเพ็ญมา
ตั้งมหาปฐพีไว้ในที่
เป็นพยาน เสี่ยงพระบารมี ๑๐ ทัศนั้นเข้าช่วยผจญ ยังพระยามาร
กับเสนาให้ปราชัย แต่ในเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคตแล้วบรรลุ
บุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม, ได้ทิพพจักขุญาณในมัชฌิมยาม,
ทรงใช้พระปัญญาพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งฝ่ายเกิดฝ่ายดับ สาว
หน้าสาวกลับไปมาในปัจฉิมยาม, ก็ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ในเวลาอรุณขึ้น.๑
ในประพฤติเหตุเหล่านี้ ข้อที่จะพึงปรารภถึง มีแต่เรื่องผจญ
มาร. สันนิษฐานเห็นว่า เป็นเรื่องแสดงน้ำพระหฤทัยของพระมหาบุรุษ
โดยบุคคลาธิฏฐาน คือกล่าวเปรียบด้วยตัวบุคคล. กิเลสกามเปรียบ
ด้วยพระยามาร, กิเลสอันเป็นฝ่ายเดียวกัน เปรียบด้วยเสนามาร.
กิเลสเหล่านั้น
เกิดขึ้นท่องเที่ยวอยู่ในจิตของพระมหาบุรุษ ให้นึกถึง
ความเสวยสุขสมบัติในปางหลังและทวนกลับ เปรียบด้วยพระยามาร
ยกพลเสนามาผจญ. พระบารมี ๑๐
ทัศนั้น คือ ทาน ๑
ศีล ๑
เนกขัมมะ
คือความออกจากกามได้แก่บรรพชา ๑ ปัญญา ๑
วิริยะ ๑
ขันติ
๑ ความสัตย์ ๑ อธิฏฐาน
คือความมั่นคง ๑ เมตตา ๑ อุเบกขา
๑. มหาสัจจกสูตร ม. มู.
๑๒/๔๖๐.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 46
คือความวางเฉยได้
๑ พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา
ทรงนึกถึงแล้ว ทำพระหฤทัยให้หนักแน่น เปรียบด้วยตั้งมหาปฐพี
ไว้ในที่เป็นพยาน, ทรงเอาพระคุณสมบัติเห็นปานนั้น มาหักพระหฤทัย
ห้ามความคิดกลับหลังเสียได้เป็นเด็ดขาด เปรียบด้วยเสี่ยงพระบารมี
ผจญมารได้ชัยชนะ. เรื่องนี้ได้ถอดใจความแสดงโดยธัมมาธิฏฐาน
กล่าวตามสภาพ จะพึงมีเช่นนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้พระปัญญาตรัสรู้ธรรมพิเศษ เป็นเหตุ
ถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะ จึงได้พระนามว่า ' อรห ' และตรัสรู้
ชอบโดยลำพังพระองค์เอง จึงได้พระนามว่า ' สมฺมาสมฺพุทฺโธ ' ๒ บท
นี้เป็นพระนามใหญ่ของพระองค์ ได้โดยคุณนิมิตอย่างนี้แล.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 47
ปฐมโพธิกาล
ปริเฉทที่
๖
ปฐมเทศนา และ
ปฐมสาวก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว เสด็จประทับอยู่
ณ ภายใต้ร่มไม้พระมหาโพธินั้น, เสวยวิมุตติสุข ( คือ
สุขเกิดแต่ความ
พ้นจากกิเลสาสวะ
) สิ้นกาล ๗ วัน.
ครั้งนั้น พระองค์ทรงพิจารณา
ปฏิจจสมุปบาทที่พระองค์ได้ทรงกำหนดรู้แล้วนั้น ตามลำดับและ
ถอยกลับ ทั้งข้างเกิดทั้งข้างดับ ตลอดยาม ๓
แห่งราตรีแล้ว เปล่ง
อุทาน๑ ( คือ
พระวาจาที่ตรัสออกด้วยความเบิกบานพระหฤทัย )
ในยาม
ละครั้ง.
อุทานในยามต้นว่า " เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น
ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น
ย่อม
สิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรมว่าเกิดแต่เหตุ. "
อุทานในยามเป็นท่ามกลางว่า " เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏ
แก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่, เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์
นั้น ย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย
( ว่าเป็นเหตุ
สิ้นแห่งผลทั้งหลายด้วย
). "
๑. ขุ. อุ. ๒๕/๗๔-๖. มหาวคฺค.
ปม. ๔/๒,๓,๔.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 48
อุทานในยามที่สุดว่า " เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่, เมื่อนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น. "
ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว
เสด็จออกจากภายใต้ร่มไม้พระมหาโพธิ
นั้น ไปยังภายใต้ร่มไม้ไทร ซึ่งเป็นที่พักแห่งคนเลี้ยงแพะ อันได้ชื่อว่า
'
อชปาลนิโครธ ' อันตั้งอยู่ในบุรพทิศแห่งพระมหาโพธิ, ทรงนั่งเสวย
วิมุตติสุข
๗ วัน.
ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้หนึ่ง มีชาติแห่งคนมักตวาดผู้
อื่นว่า ' หึ หึ ' เป็นปรกติ มายังที่นั้น, ทูลถามถึงพราหมณ์และธรรม
ซึ่งทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ว่า " บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุ
เพียงเท่าไร
? และธรรมอะไรทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์
? " พระองค์
ตรัสตอบว่า "
พราหมณ์ผู้ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว
ไม่มีกิเลส
เป็นเครื่องขู่ผู้อื่นว่า ' หึ หึ ' เป็นคำหยาบ และไม่มีกิเลสอันย้อมจิต
ให้ติดแน่นดุจน้ำฝาด มีตนสำรวมแล้ว
ถึงที่สุดจบเวทแล้ว มี
พรหมจรรย์ได้อยู่เสร็จแล้ว, ผู้นั้น ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในโลกแม้น้อย
หนึ่ง
ควรกล่าวถ้อยคำว่า ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม.๑
" พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสมณะและธรรมซึ่งทำบุคคลให้เป็นสมณะว่า
เป็นพราหมณ์ และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ในพระพุทธศาสนา
โดยโวหารพราหมณ์ ด้วยพระวาจานี้.
อธิบายว่า คนพวกหนึ่ง
ถือตัวว่าเป็นเหล่ากอสืบเนื่องมาแต่
๑. ขุ. อุ. ๒๕/๗๗. มหาวคฺค. ปม. ๔/๕.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 49
พรหม จึงได้นามว่า
'
พราหมณ์ ' แปลว่าเป็นวงศ์พรหม๑
พราหมณ์
นั้น ระวังชาติชอบตนไม่ให้ปนคละด้วยชาติอื่น แม้จะหาสามีภรรยา
ก็หาแต่ในพวกคนเท่านั้น, เขาถือว่า พวกเขาเป็นอุภโตสุชาติ เกิดดี
แล้วทั้ง
๒ ฝ่าย
คือทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่ายบิดา, เป็นสังสุทธคหณี มีครรภ์
เป็นที่ปฏิสนธิหมดจดดี, แม้ชาติอื่นที่นับว่าต่ำกว่าชาติพราหมณ์ก็ย่อม
นับถือพราหมณ์, แม้พวกกษัตริย์ผู้ถือตนว่ามีชาติสูง ก็ย่อมนับถือ
พราหมณ์ เช่นเจ้านายทรงนับถือพระฉะนั้น.
พราหมณ์นั้น มีวิธีลอยบาป
คือตั้งพิธีอย่างหนึ่งเป็นการประจำ
ปี ที่เรียกว่า
'
ศิวาราตรี ' ในพิธีนั้น
เขาลงอาบน้ำในแม่น้ำ สระ
เกล้าชำระกายให้หมดจดแล้ว ถือว่าได้ลอยบาปไปตามกระแสน้ำแล้ว
เป็นสิ้นบาปกันคราวหนึ่ง, ถึงปีก็ทำใหม่.๒ เขามีเวท
คือตำหรับแสดง
คำสวนอ้อนวอนเทวดาและการบูชายัญกับทั้งมนต์สำหรับเซ่น และกิจ
ที่จะต้องทำในศาสนาของเขา
๓ อย่าง
ชื่ออิรุพเพท๓ ๑
ยชุพเพท๔ ๑
สามเพท๕
๑. ถ้าเติมอถัพพนเพท๖เข้าด้วย ก็เป็น ๔.
พราหมณ์ผู้กำลัง
เรียนเพททั้ง
๓ หรือทั้ง ๔ นั้น
ชื่อ ' พรหมจารี
' ผู้ประพฤติพรหม-
จรรย์ ผู้เรียนจบแล้ว ชื่อว่าถึงที่สุดเพทหรืออยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
คือเสร็จกิจเป็นเหตุอยู่ในสำนักครู. พราหมณ์ก็คือคนชาตินั้น ธรรมที่
๑. ดู สุ. วิ. ปม. ๓๑๕. ๒. ดูพระราชพิธีสิบสองเดือน. ๓.
ฤคเวท ตำหรับแถลงพิธี
สวดมนต์เวลาทำพิธีกรรม.
๔. ยชุรเวท
ตำหรับแถลงพิธีทำกิจบูชายัญ. ๕. สามเวท
ตำหรับแถลงพิธีสวดเป็นทำนองในเวลาทำพิธีต่าง ๆ. ๖.
อถรรพนเวท ตำหรับแถลง
พิธีรักษาโรคและไล่ผีที่เข้าสิงในกายมนุษย์.
ดูพิสดารในคำอธิบายและอภิธานสำหรับ
ประกอบเรื่องนารายณ์สิบปางของสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ หน้า ๑๕ พิมพ์
ครั้งที่ ๑/๒๔๖๖.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 50
ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ ก็คือไตรเพท.
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้โวหารนั้น
แต่เปลี่ยนแสดง
สมณะและธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นสมณะว่าเป็นพราหมณ์ และธรรม
ที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์ ในพระพุทธศาสนา ด้วยพระวาจานั้น.
พรรณนาความว่า บุคคลผู้ยังบาปให้สงบระงับจากสันดาน ชื่อว่าเป็น
พราหมณ์
พราหมณ์นั้นละกิเลสที่ทำให้เป็นผู้ดุร้ายเย่อหยิ่งและย้อม
จิตให้ติดแน่นในกามารมณ์แล้ว จึงชื่อว่ามีบาปอันลอยเสียแล้ว, ได้
ศึกษาจบวิทยาอย่างยอก
๓ ประการในศาสนาเสร็จแล้ว จึงชื่อว่าถึง
ที่สุดจบเวทแล้ว, มีกิจที่จำจะต้องทำในการละสิ่งอันควรละ เจริญสิ่ง
อันควรเจริญ ได้ทำเสร็จแล้ว ไม่ต้องเพียรเพ่งกิจอื่นอีก จึงชื่อว่า
มีพรหมจรรย์ได้อยู่เสร็จแล้ว.
ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว
เสด็จออกจากร่มไม้อชปาลนิโครธ
ไปยัง
ไม้จิกซึ่งได้นามว่า ' มุจจลินท์ ' อันตั้งอยู่ในทิศอาคเนย์แห่งพระ
มหาโพธิ, ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน
ทรงเปล่งอุทาน ณ ที่นั้นว่า
"
ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรมได้สดับแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัด
รู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไร, ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์
ทั้งหลาย และความปราศจากกำหนัด
คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้
ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก,
ความนำอัสมิมานะ
คือถือว่า
ตัวตนให้หมดได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง.๑ "
พระคันถรจนาจารย์๒ แสดงประพฤติเหตุในสถานที่นี้ว่า ฝนตก
๑. ขุ. อุ. ๒๕/๘๖. มหาวคฺค. ปม. ๔/๖.
๒. สมนฺต. ตติย. ๑๐.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 51
พรำ เจือด้วยหนาวตลอด ๗ วัน
พระยานาคชื่อ ' มุจจลินท์
' เข้า
มาวงด้วยขนด
๗ รอบ
และแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อ
จะป้องกันฝนและลมมิให้ถูกพระกาย, ครั้นฝนหายแล้ว คลายขนด
ออก จำแลงเพศเป็นมาณพ มายืนเฝ้า
ณ ที่เฉพาะพระพักตร์, พระ-
องค์ได้ทรงเปล่งอุทานมีความดังกล่าวแล้ว.
เรื่องนี้
เห็นว่าพรรณนาเทียบด้วยปางเทวรูปนาคปรก.
อันปาง
นาคปรกนั้น ไม่เฉพาะมีแต่พระพุทธรูป เทวรูปก็มี
และเข้าใจว่า
มีมาก่อนพระพุทธรูปด้วย. พวกที่เรียกว่านาคนั้น น่าจะได้แก่พวกที่
นับถือเทวรูปนาคปรกนี้เอง, ยังไม่เคยพบตำนาน เป็นแต่ได้เห็นรูป
ที่ทำได้.
เทวรูปชนิดนี้มีเทวสถานเมืองลพบุรีเป็นอันมาก ทำด้วย
ศิลา องค์ใหญ่ ๆ
แต่ปั้นพอกแปลงเป็นพระพุทธรูปและปิดทอง, ที่ยัง
ไม่ได้แปลงหรือที่รอยปั้นหลุดออกแล้ว แลเห็นเป็นเทวรูปตามเดิม,
ไม่พบตำนานแห่งเทวรูปนาคปรก จะถอดความให้ชัดกว่านี้ไม่ถนัด.
ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว
เสด็จออกจากร่มไม้มุจจลินท์ไปยังไม้เกต
ซึ่งได้นามว่า ' ราชายตนะ ' อันตั้งอยู่ในทิศทักษิณแห่งพระมหาโพธิ
ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข
๗ วัน.
สมัยนั้น พาณิช ๒ คน
ชื่อตปุสสะ ๑
ภัลลิกะ
๑ เดินทางจากอุกกลชนบทถึงที่นั้น, ได้เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าประทับอยู่ ณ
ภายใต้ต้นไม้ราชายตนะ
จึงนำข้าวสุตตุผง ข้าว
สัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงสำหรับเดินทางเข้าไปถวายแล้ว, ยืน ณ
ที่ควร
ข้างหนึ่ง. พระองค์ทรงรับแล้ว เสวยเสร็จแล้ว,
พาณิช ๒ คนนั้น
กราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสก อ้างพระองค์กับพระธรรมเป็นสรณะเป็น
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 52
ปฐมอุบาสกในพุทธกาลแล้วหลีกไป.
พระคันถรจนาจารย์๑กล่าวแระพฤติเหตุในสถานที่นี้ ขยายให้
เขื่องออกไปว่า สองพาณิชมาพบพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เพราะเทวดา
บอก, และในเวลานั้นบาตรทรงหามีไม่ เพราะหายเสียแต่คราวทรง
รับข้าวปายาสของนางสุชาดาแล้ว ทรงดำริว่า
พระตถาคตเจ้าท่าน
ไม่รับบิณฑบาตด้วยพระหัตถ์ จักทำไฉนหนอ ?
ท้าวจาตุมหาราช ๔
องค์ทรงทราบพระพุทธดำริแล้ว ต่างนำบาตรศิลาองค์ละใบเข้าไป
ถวาย, ทรงรับและอธิษฐานเข้าเป็นใบเดียวกันแล้ว ทรงรับข้าว
สัตตุ
๒ ชนิดของ ๒ พาณิชด้วยบาตรนั้น.
เรื่องนี้ พรรณนาเทียบด้วยวัตถุอะไร สันนิษฐานไม่ถนัด,
บางทีจะเพ่งอรรถว่าเป็นทักขิไณย ควรรับสักการะอันทายกจะพึงนำมา
ถวายแต่
๔ ทิศกระมัง ? เพราะท้าวจาตุมหาราชเป็นเจ้าแห่งทิศองค์
ละทิศ๒, และเมื่อกล่าวในตอนรับบิณฑบาตทาน ถวายบาตรเป็น
เหมาะกว่าอย่างอื่น ทั้งจะได้แทนบาตรเดิมที่หายเสียด้วย.
ความในปริเฉทนี้ เรียงตามโครงเรื่องแห่งบาลีมหาวรรคพระ
วินัย.๓ ฝ่ายพระอรรถกถาจารย์๔ แทรกความในระหว่างเสด็จอยู่ที่พระ
มหาโพธิและที่อชปาลนิโคระว่า เสด็จจากพระมหาโพธิไปทางทิศ
อีสาน
เสด็จยืนจ้องดูพระมหาโพธิด้วยมิได้กระพริบพระเนตรตลอด
๗ วัน, สถานที่นั้นเรียกว่า ' อนิมิสเจดีย์, ' เสด็จกลับจากที่นั้น
๑. สมนฺต. ตติย. ๑๒. ๒.
ทิศบูรพา ท้าวธตรัฏฐ์, ทิศทักษิณ ท้าววิรุฬหก, ทิศปัจจิม
ท้าววิรูปักข์, ทิศอุดร ท้าวกุเวร.
๓. มหาวคฺค. ปม. ๔/๔-๗. ๔.
สมนฺต. ตติย. ๘.
นักธรรมตรี - พุทธประวัติเล่ม
๑ - หน้าที่ 53
มาหยุดในระหว่างกลางแห่งพระมหาโพธิและอนิมิสเจดีย์ ทรงนิรมิต
ที่จงกรมขึ้นแล้ว เสด็จจงกรม
ณ ที่นั้นถ้วน ๗ วัน, สถานที่นั้น
เรียกว่า ' รัตนจงกรมเจดีย์,
' ในสัปดาหะที่ ๔ เทวดานิรมิตเรือน
แก้วขึ้นในทิศปัจจิมหรือในทิศพายัพแห่งพระมหาโพธิ เสด็จนั่งขัด
บัลลังก์ ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกสิ้น ๗ วัน, สถานที่นี้เรียกว่า
'
รัตนฆรเจดีย์ ' ต่อนี้จึงเสด็จไม้อชปาลนิโครธ,
ตามนัยนี้ เพิ่มสถาน
ในจังหวัดพระมหาโพธิ อันเรียกว่า
'
โพธิมัณฑะ ' อีก ๓ สถาน,
เพิ่มกาลเข้าอีก
๓ สัปดาหะ,
รวมเป็น ๗ สถาน
๗ สัปดาหะ. การเพิ่ม
สถานและกาลเข้าดั่งนี้ น่าจะเก็บเอามาจากหนังสืออื่น อันกล่าว
แปลกออกไปจากมหาวรรค.
สมัยที่ว่าเก็จประทับอยู่ ณ
สถานนั้น ๆ ตำบลละสัปดาหะหนึ่ง
นั้น น่าใคร่ครวญอยู่บ้าง. การนับสัปดาหะนั้น คือ
นับขวบวาระ ๗
อย่างที่พวกอังกฤษนับว่า วิก๑,
ไทยเราเอาอย่างมาใช้เรียกว่า อาทิตย์.
ครั้งบาลีการนับสัปดาหะมีแจ้งแล้ว แต่การนับวาระหาปรากฏไม่.
ตรงกันข้ามกับการนับของพวกเรา
ๆ รู้จักนับวาระมานานแล้ว เรียก
ชื่อวาระตามชื่อ พระอาทิตย์
พระจันทร์ และดาวเคราะห์อื่น๒ แต่ไม่
รู้จักนับสัปดาหะ พึ่งเอาอย่างฝรั่งมาใช้เมื่อภายหลัง. วาระและ
สัปดาหะเป็นคู่กัน มีต้องมีด้วยกัน,
สันนิษฐานเห็นว่า
ครั้งบาลี
ชะรอยจะไม่ได้ใช้เรียกชื่อวาระตามพระเคราะห์ทั้ง
๗. ชะรอยจะเรียก
นับสังขยาว่า วาระที่ ๑
ที่ ๒ ไปจนถึงที่ ๗ เหมือนพวกจีนนับ เป็น
๑. week. ๒. อังคาร, พุทธ, พฤหัสบดี, ศุกร์,
เสาร์.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 54
แต่ของเขามีสุญวาระหน
๑ จึงมีในลำดับเพียง ๖. บางทีในเรื่องเดิมจะ
กล่าวว่า ที่ ๑
แห่งสัปดาหะ
เสด็จประทับอยู่ที่นั่น, ที่
๒ แห่ง
สัปดาหะ เสด็จประทับอยู่ที่นี่, ภายหลังเข้าใจปนกันไปเป็นสัปดาหะ
ที่
๑ สัปดาหะที่ ๒.
เพราะกำหนดวันเสด็จอยู่ ณ
โพธิมัณฑะมาก ทั้งเข้าใจว่า เสด็จ
นั่งอยู่กับที่ไม่ได้เสวยพระอาหาร, พระอรรถกถาจารย์๑จึงพรรณนาว่า
ข้าวปายาสที่นางสุชาดาถวายนั้น ปันเป็นคำได้ ๔๙ คำ พอไปได้,
วันละคำ. ถ้าเข้าใจว่า
การเสวยพระอาหารไม่มีเหตุ
ก็ไม่ได้กล่าวถึง
เล่นในเวลาเลิกทุกรกิริยา วันจะนานเท่าไรก็ได้.
ในสมัยเสด็จอยู่ที่ไม้อชปาลนิโครธนั้น
พระอรรถกถาจารย์หาได้
กล่าวถึงพราหมณ์เข้าไปเฝ้าไม่, กล่าวถึงธิดามาร ๓ คน
คือ นาง
ตัณหา นางอรดี
นางราคา อาสาพระยามารผู้บิดา และเข้าไป
ประโลมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอาการจ่าง
ๆ แต่พระองค์มิได้ใยดี,
ความข้อนี้ แต่งขยายเป็นบุคคลาธิษฐานจากคาถา ตรัสตอบแก่
พราหมณ์ แสดงพราหมณ์คือสมณะ และธรรมทำให้เป็นพราหมณ์
คือสมณะนั้นเอง และชื่อธิดามาร ก็บ่งอยู่แล้ว.
แสดงความสืบอนุสนธิต่อไปว่า ครั้นล่วง
๗ วันแล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้า เสด็จออกจากร่มไม้ราชายตนะ กลับไปประทับ
ณ ร่มไม้
อชปาลนิโครธอีก, ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วว่า
เป็นคุณอันลึก
ยากที่บุคคลผู้ยินดีในกามคุณจะตรัสรู้ตามได้ ท้อ
๑. สมนฺต. ตติย. ๑๓.
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 55
พระหฤทัยเพื่อจะตรัสสั่งสอน, แต่อาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรง
พิจารณาอีกเล่า ว่าจะมีผู้รู้ทั่วถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่ ? ก็ทรงทราบ
ด้วยพระปัญญาว่า บุคคลผู้มีกิเลสน้อยเบาบางก็มี, ผู้มีกิเลสหนาก็มี,
ผู้มีอินทรีย์คือศรัทธา วิริยะ
สติ สมาธิ ปัญญา
กล้าก็มี, ผู้มี
อินทรีย์อ่อนก็มี, ผู้มีอาการอันดีก็มี, ผู้มีอาการอันชั่วก็มี, เป็นผู้จะ
พึงสอนให้รู้ได้โดยง่ายก็มี, เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี,
เป็นผู้
สามารถจะรู้ได้ก็มี, เป็นผู้ไม่สามารถจะรู้ได้ก็มี. มีอธิบายเป็นคำ
เปรียบว่า ในกออุบลคือบัวขาว ในกอปทุมคือบัวหลวง หรือใน
กอบุณฑริกคือบัวขาว, ดอกบัวที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ น้ำ
เลี้ยงอุปถัมภ์ไว้, บางเหล่ายังจมในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บาง
เหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ. ในดอกบัว ๓
อย่างนั้น
ดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำแล้ว
นั้น คอยสัมผัสรัศมีพระอาทิตย์อยู่ จักบาน
ณ วันนี้, ดอกบัวที่ตั้ง
อยู่เสมอน้ำนั้น จักบาน
ณ วันพรุ่งนี้, ดอกบัวที่ยังไม่ขึ้นจากน้ำ ยัง
ตั้งอยู่ภายในน้ำ จักบาน
ณ วันต่อ ๆ ไป, ดอกบัวที่จะบานมีต่างชนิด
ฉันใด เวไนยสัตว์ก็มีต่างพวกฉันนั้น; ผู้มีกิเลสน้อยเบาบาง มี
อินทรีย์กล้า มีอาการอันดี
เป็นผู้ที่จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย
ก็อาจ
จะรู้ธรรมพิเศษนั้นได้ฉับพลัน, ผู้มีคุณสมบัติเช่นนั้น เป็นประมาณ
กลาง ได้รับอบรมในปฏิปทาเป็นบุพพภาค จนมีอุปนิสัยแก่กล้า
ก็สามารถจะบรรลุธรรมพิเศษนั้นดุจเดียวกัน, ผู้มีคุณสมบัติเช่นนั้น
ยังอ่อน หรือหาอุปนิสัยมิได้เลย ก็ยังควรได้รับแนะนำในธรรม
เบื้องต่ำไปก่อน เพื่อบำรุงอุปนิสัย; เมื่อเป็นเช่นนี้ พระธรรม-
นักธรรมตรี -
พุทธประวัติเล่ม ๑ - หน้าที่ 56
เทศนาคงไม่ไร้ผล จักยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่คนทุกเหล่า, เว้นแต่
จำพวกที่ไม่ใช่เวไนย คือไม่รับแนะนำ ที่เปรียบด้วยดอกบัวอันเป็น
ภักษาแห่งปลาและเต่าฉิบหายเสีย. ครั้นทรงพิจารณาด้วยพระญาณ
หยั่งทราบเวไนยสัตว์ ผู้จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมเทศนาดั่งนั้น
แล้ว, ได้ทรงอธิษฐานพระหฤทัยในที่จะแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน
และตั้งพุทธปณิธานจะใคร่ดำรงพระชนม์อยู่ กว่าจะได้ประกาศพระ
ศาสนาแพร่หลาย ประดิษฐานให้ถาวร สำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกร
ทุกเหล่า.
ในอธิการนี้ พระคันถรจนาจารย์๑แสดงความว่า ในกาลเป็น
ลำดับแห่งพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า น้อมไปเพื่อทรงขวน
ขวายน้อยเสียดั่งนั้น, ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบพระพุทธอัธยาศัย
แล้ว ลงมาจากพรหมโลก กราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรม
อัางว่า สัตว์ผู้มีกิเลสเบาบางอาจรู้ได้ก็มีอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
พิจารณาสอบด้วยพระญาณ ก็ได้เห็นสัตว์มีประการต่าง ๆ เปรียบ
ดุจดอกบัวต่างชนิด อันจะบานในวันเป็นลำดับดังนั้นแล้ว ก็ทรงรับ
อาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหม เพื่อจะทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์.
สันนิษฐานเห็นว่า เรื่องนี้กล่าวขยายพระพุทธดำริปรารภการ
แสดงพระธรรมเทศนาเป็นบุคคลาธิษฐาน. พรหมนั้นมีเมตตากรุณา
เป็นวิหารธรรม, กล่าวถึงท้าวสหัมบดีพรหม ก็คือกล่าวถึงพระกรุณา
๑. ปาสราสิสูตร. ม. มู.
๑๒/๓๒๔. สมนฺต. ตติย. ๑๔.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น