วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ข้าวโพดต้ม ของดีกว่าที่คิด






ข้าวโพดต้ม ของดีกว่าที่คิด 
เราเคยเชื่อกันว่า ผักผลไม้ดิบ สดจากธรรมชาติ จะมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าที่เอามาหุงต้ม และหลายคนเข้าใจว่า การต้มข้าวโพดต้องต้มเร็วๆ พอสุก ไม่ต้มนานๆ 

แต่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล ทำให้ความเชื่อนั้นเริ่มสั่นคลอน เมื่อรายงานว่า การกินข้าวโพดต้มสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งได้ นักวิจัยพบว่า การต้มทำให้ข้าวโพดปล่อยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ออกมาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่ชื่อว่า กรดเฟอรูลิก (Ferulic acid) 

กรดเฟอรูลิกสำคัญอย่างไร 
กรดเฟอรูลิกเป็นกรดอินทรีย์ เป็นสารสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้) 

กรดเฟอรูลิก เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในเนื้อเยื่อของคนเวลาที่คนเราออกกำลังร่างกาย โดยเฉพาะการออกกำลังชนิดแอโรบิก ซึ่งมีการใช้ออกซิเจนมากในร่างกาย นั่นคือ เกิดออกซิไดส์(Oxidize) หรือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) 

ในร่างกายคน คำว่า ออกซิไดส์ หรือ ออกซิเดชัน หมายถึง ปฏิกิริยาจากออกซิเจน นั่นเอง การออกซิไดส์ในร่างกาย ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็ทำนองเดียวกับการเกิดสนิมเหล็กที่ตัวถัง 
รถยนต์นั่นเอง การเกิดสนิมเป็นปฏิกิริยาออกซิไดส์ที่เหล็กสัมผัสกับออกซิเจนและความชื้นในอากาศ และกลายเป็นสนิม และในที่สุด รถก็จะผุพังไป ร่างกายคนเราก็เช่นเดียวกัน มีการออกซิไดส์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีการใช้ออกซิเจนมาก ยิ่งมีการออกซิไดส์มาก 

ปกติธาตุออกซิเจนเป็นธาตุที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิต แม้กระนั้น 
ก็ตามออกซิเจนในบางรูปก็อาจเป็นอันตรายได้ โมเลกุลของออกซิเจนปกติ (ออกซิเจนดี) จะมีอิเล็กตรอนอยู่กันเป็นคู่ ทำให้เป็นโมเลกุลของออกซิเจนที่คงตัว แต่ถ้าออกซิเจนมีการสูญเสียอิเล็กตรอน ทำให้อิเล็กตรอนขาดคู่ จะไม่คงตัว เรียกว่า อนุมูลอิสระ (ออกซิเจนตัวร้าย) ที่เรียกว่าเป็นตัวร้ายเพราะมันไม่เสถียร จึงเคลื่อนที่พล่านไปเพื่อหาอิเล็กตรอน และฉกเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์อื่นๆ และเข้าไปเกาะอยู่กับเซลล์ ก็ทำให้โมเลกุลในเซลล์นั้นกลายเป็นอนุมูลอิสระที่มีออกซิเจนเป็นแกน ถ้ามีมากจะทำลายเซลล์ในเนื้อเยื่อ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กระบวนการนี้คือ กระบวนการแก่ (Aging process) ของคนนั่นเอง 

เวลาที่คนเราออกกำลังกาย ถ้าอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ไม่ได้ถูกกำจัดออก จะก่อให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อล้า ไม่สามารถเล่นต่อไปได้ ปวดกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออักเสบได้ 
กรดเฟอรูลิกในร่างกายจะทำหน้าที่กำจัดออกซิเจนตัวร้ายทันที 
ที่เกิดขึ้น โดยการจัดส่งอิเล็กตรอนให้ทันที จึงไม่สามารถไปฉกเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์ของเนื้อเยื่อ อาการผิดปกติต่างๆ จึงไม่เกิดขึ้น 

ดังนั้น การออกกำลังกายก็ต้องมีข้อควรระวังด้วย ไม่ใช่ออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ต้องเตรียมสุขภาพและกินอาหารที่ดีด้วย คนที่มีสุขภาพไม่ได้ ขาดสารอาหารหรืออ่อนแอ ควรออกกำลังได้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น และต้องมีการเตรียมตัวในด้านอาหารและโภชนาการด้วย 

เมื่อเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดการออกซิไดส์ในร่างกาย ร่างกายก็ต้องมีกลไกในการควบคุม เหมือนกับที่เราป้องกันไม่ให้เหล็กเป็นสนิม หรือไม่ให้ผุก่อนเวลาอันควร ร่างกายคนจึงมีสารกำจัดอนุมูลอิสระ หรือบางทีเรียกว่า สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือสารที่ทำหน้าที่จัดส่งอิเล็กตรอนให้ออกซิเจนตัวร้าย เพื่อให้เป็นออกซิเจนตัวดี 
นั้นเองตามสภาวะที่ถือว่าเป็นอุดมคติ (คือ กินอาหารถูกต้องสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีพิษภัย อากาศดี) ร่างกายก็จะมีสารกำจัดอนุมูลอิสระอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และจะไม่ปล่อยให้อนุมูลอิสระเพ่นพ่านในร่างกาย 

แต่ความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญในชีวิตจริงนั้น อุดมคติเหล่านั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว กลับมีแต่สิ่งที่ส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันเกือบทุกชนิด เป็นแหล่งส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ สารพิษฆ่าแมลง แม้กระทั่งสเปรย์ระงับกลิ่นตัว หรือยารักษาโรคที่เรากินตามแพทย์สั่ง ก็เป็นสารส่งเสริมอนุมูลอิสระทั้งสิ้น 

ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟอรูลิกในข้าวโพดดิบจะแฝงตัวอยู่ในผนังเซลล์ของพืช อยู่ในรูปของกลูโคไซด์ (คือ สารที่น้ำตาลกลูโคสเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ข้าวโพดหวาน) เมื่อข้าวโพดถูกต้มนานๆ สารแอนตี้ออกซิแดนท์และกรดเฟอรูลิกจะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ 

นักวิจัยพบว่า ถ้าต้มข้าวโพดยิ่งนาน ปริมาณของสารแอนตี้ 
ออกซิแดนท์จะถูกปล่อยออกมามากขึ้น ถ้าต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะเพิ่มขึ้น 21% ถ้าต้ม 25 นาที จะได้สารแอนตี้ออกซิแดนท์เพิ่มขึ้น 44% และถ้าต้ม 50 นาที จะได้เพิ่มถึง 53% แต่เมื่อวัดปริมาณเฉพาะกรดเฟอรูลิกที่ถูกปล่อยออกมาพบว่า กรดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 240% (เมื่อต้ม 10 นาที), 550% (เมื่อต้ม 25 นาที) และ 900% (เมื่อต้ม 50 นาที) 

คนจำนวนมาก ชอบกินข้าวโพดหวานดิบ เพราะเชื่อว่ามีสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ดี หลายตนชอบต้มเพียงพอสุก เพราะเกรงความหวานจะหายไป ผลงานวิจัยนี้เสนอแนะให้ทราบว่า 
ข้าวโพดต้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก ในแง่ของการให้สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ แม้ว่าวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี จะหายไปบ้าง อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับวิตามินซีอยู่แล้ว 

จะเห็นว่า ข้าวโพดต้มจะมีคุณค่ามากกว่าที่เราคิดมากมายนัก และปู่ ย่า ตา ยาย ได้พาเรากินกันมานานแล้ว แต่พวกฝรั่งเริ่มจะมารู้จักกินกันไม่นานนัก แต่น่าเสียใจที่เด็กๆ ของเรา โดยเฉพาะเด็กเล็กไม่รู้จักกินของพวกนี้ เพราะสังคม (จากการโฆษณาและสื่อ) จะสอนให้เด็กกินแต่กากของข้าวโพด เช่น ของอบกรอบ ของเค็มปรุงแต่งรสทั้งหลายซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีเลยสำหรับสุขภาพของเด็ก แต่ดีสำหรับสุขภาพความร่ำรวยของผู้ผลิต 

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะคิดห่วงใยลูกหลานของเราบ้าง อย่า 
ส่งเสริมให้พวกเขาเป็นสนิมผุพังไปเสียก่อนวัยอันควร แต่ช่วยกันพ่นฟลิ้นโคทป้องกันสนิม ด้วยการช่วยกันหัดให้เขาหันกลับมากินของไทยๆ แบบดั้งเดิมที่ปู่ ย่า ตา ยาย พาเรา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น