นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 107
สำเร็จ ห้ามไม่ให้อยู่จำพรรษาในอาวาสเช่นนั้น อธิบายข้อนี้ว่า
ถ้าอาจไปทำสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่นได้ อยู่จำพรรษาในอาวาส
เช่นนั้นก็ควร.
พระสาวกผู้ใหญ่ไปปางก่อน ย่อมเคารพในสังฆอุโบสถ เช่น
พระมหากัสสป
เดินทางมาเพื่อทำอุโบสถแต่ไกล ต้องข้างลำน้ำ
ผ้าผ่อนเปียก. พระมหากปิน ดำริว่า เสร็จกิจพระศาสนาแล้วคิดจะ
เลิก
ไม่ไปเข้าประชุมทำอุโบสถ พระศาสดาตรัสเตือนเพื่อรักษา
ธรรมเนียมและให้กายสามัคคี
ท่านก็ยอมรับปฏิบัติตาม.
ปวารณา
ในวันเพ็ญแห่งเดือนกัตติกาตัน ที่เต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ทำปวารณา
แทนอุโบสถ.
กิจเบื้องต้นแห่งปวารณา ก็เหมือนแห่งอุโบสถ เป็นแต่ใน
ส่วนบุพพกิจ ไม่นำปาริสุทธิ
นำปวารณาของภิกษุไข้มา. คำมอบ
ให้ปวารณาว่า " ปวารณํ ทมฺมิ, ปวารณํ เม หร, มมตฺถาย
ปวาเรหิ. " แปลว่า "
ฉันมอบปวารณาของฉัน ขอเธอจงนำปวารณา
ของฉันไป
ขอเธอจงปวารณาแทนฉัน. " นี้เป็นคำของผู้เจ็บที่แก่
กว่า ถ้าอ่อนกว่า ใช้คำว่า " หรถ " แทน " หร " ใช้คำว่า
" ปวาเรถ " แทน " ปวาเรหิ
" พึงถือเอาความแปลโดยสมควร
แก่โวหาร.
ภิกษุผู้รับมอบปวารณาไป ทวงทีจะปวารณาแทนเธอ
ในลำดับของเธอ คำปวารณาแทนนั้น
จะควรกล่าวอย่างไร จัก
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 108
แสดงข้างหน้า.
วันปวารณานั้น
โดยปกติเป็นวันที่ ๑๕ เรียกว่า " ปณฺณรสี
"
ถ้าสงฆ์ยังไม่ปวารณาในวันนั้น
เลื่อนวันปวารณาออกไปอีกปักษ์
หนึ่ง ก็จะพึงเป็นวันที่ ๑๔ เรียกว่า " จาตุทฺทสี
" หรือปรองดอง
กันเข้าได้ในวันนั้น
ก็จะพึงเป็นวันสามัคคี จึงได้วันเป็น ๓ ดุจอุโบสถ.
ในญัตติกล่าวเพียง " อชฺช ปวารณา " เพ่งเอาวันปกติ.
จำนวนภิกษุผู้ประชุม ๕ รูปเป็นอย่างน้อย จึงทำปวารณาเป็น
การสงฆ์ได้ เกินกว่านั้นใช้ได้.
มีจำนวนมากกว่าอุโบสถ ๑ รูปนั้น
เข้าใจว่า เมื่อเป็นผู้ปวารณา
๑ รูป อีก ๔ รูปจะได้ครบองค์เป็น
สงฆ์, ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป
พึงทำปวารณาเป็นการคณะ. รูปเดียว
พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล.
ทำปวารณาเป็นการสงฆ์
พึงตั้งญัตติประกาศแก่สงฆ์ก่อนแล้ว
จึงปวารณา. ปวารณานั้น
คือบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อ
ปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้.
ธรรมเนียมวางไว้ ให้ปวารณารูปละ ๓ หน โดยปกติ ถ้า
มีเหตุขัดข้อง
จะทำอย่างนั้นไม่ตลอดด้วยประการใดประการหนึ่ง
จะปวารณารูปละ ๒ หนหรือ ๑ หน หรือพรรษาเท่ากัน ให้ว่าพร้อม
กันก็ได้. จะปวารณาอย่างไร
พึงประกาศแก่สงฆ์ให้รู้ด้วยญัตติก่อน.
วิธีตั้งญัตตินั้น พึงรู้อย่างนี้ :-
๑. ถ้าจะปวารณา ๓ หน พึงตั้งญัตติว่า " สุณาตุ เม ภนฺเต
สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ. สงฺโฆ
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 109
เตวาจิกํ ปวาเรยฺย. " แปลว่า " ท่านเจ้าข้า
ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ปวารณาวันนี้ที่ ๑๕
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง
ปวารณา ๓ หน. " นี้เรียกว่า " เตวาจิกา ญตฺติ. " เมื่อตั้งญัตติ
อย่างนี้แล้ว
ต้องปวารณารูปละ ๓ หน จะลดไม่ควร.
๒.
ถ้าจะปวารณา ๒ หน
พึงตั้งญัตติเหมือนอย่างนั้น แต่ลง
ท้ายว่า " สงฺโฆ เทฺววาจิกํ ปวาเรยฺย " แปลว่า "
สงฆ์พึงปวารณา ๒
หน. " นี้เรียกว่า " เทฺววาจิกา ญตฺติ. " เช่นนี้
จะปวารณาเท่านั้น
หรือมากกว่าได้ แต่จะลดไม่ควร.
๓. ถ้าจะปวารณาหนเดียว
พึงตั้งญัตติลงท้ายว่า " สงฺโฆ
เอกวาจิกํ ปวาเรยฺย
" แปลว่า "
สงฆ์พึงปวารณาหนเดียว. " นี้
เรียกว่า " เอกวาจิกา ญตฺติ. "
เช่นนี้ปวารณาหนเดียวหรือมากกว่า
ได้ทั้งนั้น แต่ผู้พรรษาเท่ากัน
ปวารณาพร้อมกันได้ควร.
๔.
ถ้าจะจัดภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ให้ปวารณาพร้อมกัน พึง
ตั้งญัตติลงท้ายว่า " สงฺโฆ สมานวสฺสิกํ ปวาเรยฺย " แปลว่า " สงฆ์
พึงปวารณามีพรรษาเท่ากัน
" นี้เรียกว่า " สมานวสฺสิกา ญตฺติ. "
เช่นนั้น ภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน ๓ หน ๒ หน หนเดียว
ได้ทั้งนั้น.
วิธีตั้งญัตติ ๔ แบบข้างต้นนี้ ระบุประการ.
๕.
ถ้าจะไม่ระบุประการพึงตั้งครอบทั่วไป ลงท้ายเพียงว่า " สงฺโฆ
ปวาเรยฺย " แปลว่า "
สงฆ์พึงปวารณา " นี้เรียกว่า "
สพฺพสงฺคาหิกา
ญตฺติ. " เช่นนี้ จะปวารณากี่หนก็ได้
แต่ท่านห้ามไม่ให้ผู้มีพรรษา
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 110
เท่ากัน ปวารณาพร้อมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ควรจะได้.
อันตราย ๑๐ อย่าง
โดยที่สุดทายกมาทำบุญ หรือมีธรรมสวนะ
อยู่จนสว่าง
ท่านให้ถือเป็นเหตุขัดข้องได้.
ครั้งตั้งญัตติแล้ว ภิกษุผู้เถระ
พึงทำผ้าห่มเฉวียงบ่า นั่งกระหย่ง
ประณมมือ
กล่าวปวารณาต่อสงฆ์ว่า " สงฺฆํ อาวุโส ปวาเรมิ
ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต
อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ, ทุนิยมฺปิ อาวุโส ฯ เป ฯ
ตติยมฺปิ อาวุโส สงฺฆํ ปวาเรมิ ฯ เป ฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ.
" แปลว่า
" เธอ ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย
ก็ดี
ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณา ว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่
จักทำคืนเสีย.
ฉันปวารณาต่อสงฆ์ครั้งที่ ๒ ฯ ล ฯ ครั้งที่ ๓ ฯ ล ฯ
จักทำคืนเสีย. "
ภิกษุนอกนี้พึงปวารณาตามลำดับแก่ทีละรูป เว้น
ไว้แต่คราวให้ผู้มีพรรษาเท่ากันปวารณาพร้อมกัน. โดยนัยนั้นเปลี่ยน
ใช้คำว่า " ภนฺเต " แทน " อาวุโส
" เท่านั้น.
ในคราวที่มีนำปวารณาของภิกษุอื่นมา ผู้นำน่าจะปวารณา
แทนเธอ เมื่อถึงลำดับของเธอ เช่นตัวอย่างดังนี้
:- " อายสฺมา ภนฺเต
อุตฺตโร คิลาโน สงฺฆํ ปวาเรติ ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย
วา, วทนฺตุ ตํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺ-
กริสฺสติ, ทุติยมฺปิ ภนฺเต ฯ เป ฯ ตติยมฺปิ ภนฺเต อายสฺมา อุตฺตโร
ิคิลาโน สงฺฆํ ปวาเรติ ฯ เป ฯ ปฏิกฺกริสฺสติ
" แปลว่า " ท่าน
เจ้าข้า ท่านอุตตระอาพาธ ปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วย
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 111
ได้ฟังก็ดี
ด้วยสงสัยก็ดี
ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าว
ท่าน ท่านเห็นอยู่
จักคืนคำเสีย,
ท่านอุตตระอาพาธ ปวารณาต่อ
สงฆ์ครั้งที่ ๒ ฯ ล ฯ ครั้งที่ ๓ ฯ ล ฯ จักทำคืนเสีย.
" ถ้าผู้นำแก่
กว่ากล่าวว่า " อุตฺตโร ภนฺเต ภิกฺขุ " แทน " อายสฺมา ภนฺเต
อุตฺตโร " ถ้าชื่ออื่น
ก็พึงเปลี่ยนไปตามชื่อ และพึงถือเอาความเข้าใจ
โดยสมควรแก่รูปความ.
ธรรมเนียมเดิม
นั่งกระหย่งอยู่กว่าจะปวารณาเสร็จทั้งนั้น
ครั้นพระเถระแก่ทนไม่ไหวเป็นลมล้มลง
จึงทรงอนุญาตให้นั่งลงได้
เมื่อตนปวารณาแล้ว, กิริยาที่ให้นั่งกระหย่งกว่าตนจะปวารณาแล้วนี้
เผยความว่า
ครั้งก่อนสงฆ์หมู่หนึ่ง ผู้ทำปวารณาไม่มากนัก จึงพอ
ทำได้ ในวัดมีพระมาก
พระผู้อยู่ข้างปลายทนไม่ไหวแน่. ข้าพเจ้า
ได้ทราบว่า
แบ่งไปปวารณาที่อื่นตามลำพังบ้าง แบ่งไปสมทบกับ
สงฆ์ที่วัดอื่นบ้าง. ประการต้นไม่งาม
ดูเหมือนสงฆ์แตกกันเป็น ๒
พวก
ประการหลังไม่สมแก่เหตุ. การปวารณาขอให้ว่ากล่าวตักเตือน
กันนั้น
สำหรับภิกษุหมู่เดียวกัน รู้จักตัวกันอยู่. ข้าพเจ้าเห็นว่า
ถือเอาการนั่งกระหย่งไม่ไหวเป็นเหตุขัดข้อง ปวารณาเพียงรูปละหน
หรือแม้จัดภิกษุผู้มีพรรษาเท่ากัน ให้ปวารณาพร้อมกัน ดีกว่าทำ ๒
ประการข้างต้น. เมื่อจะทำอย่างนั้น
ควรประกาศเหตุขัดข้องให้สงฆ์
ทราบก่อนแล้ว ตั้งญัตติบอกให้ปวารณาโดยประการอันจะทำ.
ถ้าในชุมนุมนั้น
มีภิกษุผู้ไม่อาจปวารณาได้เพราะพรรษาขาด
หรือแม้อุปสมบทภายหลังแต่วันเข้าพรรษา
และมีจำนวนไม่มากกว่า
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 112
ภิกษุผู้อาจปวารณา แม้มีจำนวนถึง ๔ รูป ท่านให้บอกปาริสุทธิ
เมื่อภิกษุนอกนี้ปวารณาเสร็จแล้ว ถ้ามีจำนวนมากกว่า ท่านให้
สวดปาติโมกข์
เมื่อจบแล้วจึงให้ภิกษุนอกนี้ปวารณาในสำนักเธอ
ทั้งหลาย
ห้ามไม่ให้ตั้งญัตติทำเป็นการสงฆ์การคณะทั้ง ๒ อย่าง
ในวันเดียวกัน.
ดิถีที่ปวารณานั้น จะเลื่อนกระชั้นใน ๓ เดือนแต่วันเข้าพรรษา
เข้ามาหาได้ไม่
จะเลื่อนออกไปอีกปักษ์หนึ่งหรืออีกเดือนหนึ่งได้อยู่
ถ้าจะเลื่อน
ต้องประกาศให้สงฆ์รู้เหตุแล้วทำอุโบสถในวันนั้น เมื่อ
ถึงวันกำหนดจึงทำปวารณา.
เหตุเป็นเครื่องยกขึ้นอ้างในการเลื่อน
ปวารณานั้น กล่าวไว้ในบาลี มีภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย
ด้วยหมายจะคัดค้านผู้นั้นผู้นี้
ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้นอย่างหนึ่ง, อยู่ด้วย
กันเป็นผาสุก
ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสียอย่างหนึ่ง. ใน
บัดนี้
ไม่มีสงฆ์หมู่ไหนจะเลื่อน จึงแสดงแต่โดยสังเขปพอรู้เค้า.
ในอาวาสมีภิกษุหย่อน ๕ รูป
ท่านห้ามไม่ให้ทำสังฆปวารณา
ถ้ามี ๔ รูปหรือ ๓ รูป พึงประชุมกันแล้ว
รูปหนึ่งประกาศด้วยญัตติ
ว่า " สุณนฺตุ เม อายสฺมนฺโต, อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี,
ยทายสฺานฺตานํ ปตฺตกลฺลํ, มยํ อญฺญมญฺญํ ปวาเรยฺยาม " แปลว่า
" ท่านเจ้าข้า
ท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้ที่ ๑๕ ถ้า
ความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, เราทั้งหลายพึงปวารณา
กันเถิด. " ถ้า ๓ รูปว่า " อายสฺมฺตา
" แทน " อายสฺมนฺโต.
"
แล้วพึงกล่าวปวารณาตามลำดับ, เพราะน้อยปรู เป็นอันเข้าใจชัดว่า
นักธรรมโท
- วินัยมุข เล่ม ๒ - หน้าที่ 113
ต้องว่า ๓ หนเต็มที่. คำปวารณาว่า " อหํ อาวุโส อายสฺมนฺเต
ปวาเรมิ ฯ เป ฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺปิ อาวุโส ฯ เป ฯ ตติยมฺปิ
อาวุโส อายสฺมนฺเต ปวาเรมิ ฯ เป ฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ
" นี้
นำหรับรูปแก่ รูปอ่อนว่า " ภนฺเต " แทน " อาวุโส.
" ถ้ามีแต่ ๒ รูป
ไม่ต้องตั้งญัตติ ปวารณากันทีเดียว. คำปวารณาว่า " อหํ อาวุโส
อายสฺมนฺตํ ปวาเรมิ ฯ เป ฯ วทตุ มํ อายสฺมา อนุกมฺปํ อุปาทาย,
ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ.
" นี้เรียกว่า คณปวารณา. อยู่รูปเดียว
ท่านให้ตระเตรียมที่ทางและคอยภิกษุอื่นจนสิ้นเวลา เห็นไม่มาแล้ว
ให้อธิษฐานว่า " อชฺช เม ปวารณา " แปลว่า " ปวารณาของเรา
วันนี้ " นี้เรียกว่า บุคคลปวารณา.
โดยนัยอันกล่าวแล้ว วันปวารณามี ๓ คือ จาตุททสี ปัณณรสี
สามัคคี, การก คือผู้ทำก็มี ๓ คือ สงฆ์ คณะ บุคคล, อาการที่ทำ
ก็มี ๓ คือ ปวารณาต่อที่ชุมนุม
๑ ปวารณากันเอง ๑ อธิษฐานใจ ๑
ทำนองเดียวกับอุโบสถ.
อธิบายนอกจากนี้
พึงรู้โดยนัยอันกล่าวแล้วในอุโบสถ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น